ประวัติความเป็นมา
ปูนปั้นก่อนสมัยทวารวดี
![]() | |
ภาพ นักดนตรีสตรี ศิลปะทวารวดี
|
รูปแบบและลวดลายงานปูนปั้นในยุคแรกมีพื้นฐานมาจากคติความเชื่อ
ปรัชญาในศาสนาพุทธ และฮินดู การพบหลักฐานงานปูนปั้นในยุคแรกๆ
ที่เก่าแก่เป็นรูปปูนปั้นพระสงฆ์คลุมจีวรเป็นริ้ว อยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 6-8 ถือว่าเป็นงานปูนปั้นที่อายุมากที่สุดเท่าที่ค้นพบมา สันนิษฐานว่าเป็นศิลปะอมราวดีในสมัยอาณาจักรฟูนัน
ที่รับอิทธิพลมาจากอินเดีย รูปกุญชรจากชาดก ณ ฐานเจดีย์ทรงจตุรัสจุลประโทน
เมืองนครปฐมและมีหลักฐานที่บันทึกจากชาวจีนโบราณว่าเคยมีอาณาจักรฟูนันอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่
8-10 ที่อําเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยพบแผ่นดินเผารูปสงฆ์อุ้มบาตรซึ่งเป็นหลักฐานงานศิลปะที่ได้รับอิทธิพลสมัยอมราวดี
ซึ่งเป็นศิลปะของพุทธศาสนานิกายหินยานและนิกาย สรวาสติวาทิน
ลอกเลียนแบบมาจากศิลปะคุปตะ ช่วงพุทธศตวรรษที่ 11 ปูนปั้นภาพลอยตัว
และภาพปูนปั้นนูนสูง รูปใบหน้าตรี ยักษ์เทวดา แสดงให้เห็นถึงการแต่กายของผู้คน
และวิถีชีวิตของคน นอกจากนี้ยังมีการพบงานปูนปั้นอีกหลายชิ้นที่สะท้อนถึงอิทธิพลของศิลปะ
แบบอินเดียโดยเฉพาะศิลปะแบบอมราวดีและคุปตะ เช่น พระนอนที่ถ้ำฝาโถ เทือกเขางู
จังหวัดราชบุรี เนื่องจากเป็นแบบเดียวกับที่พบในเมืองอนุราธปุระ
ประเทศลังกาและเมืองกุสินารา ในประเทศอินเดีย ความจัดเจนในการปั้นปูนสมัย พุทธศตวรรษที่
11-13 มีฝีมืออันเป็นเยี่ยม และคงทน (พิจิตร นิ่มงาม,
2550)(จารุวรรณ ขำเพชร, 2549)
ปูนปั้นสมัยสุโขทัย
![]() |
ภาพ
ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ วัดตระพังทองหลาง
ที่มา: ศ.ม.จ.สุภัทรดิศ
ดิศกุล
|
เริ่มตั้งแต่สมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ประกาศตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีประมาณ
พ.ศ. ๑๘๐๐-๑๙๑๘ เมืองสำคัญทางศิลปะ ของสมัยสุโขทัย มีเมืองสุโขทัยเก่า กำแพงเพชร
และศรีสัชนาลัย ปรากฏโบราณสถานใหญ่โต มีศิลปวัตถุเป็นจำนวนมาก
ชาวสุโขทัยนับถือพุทธศาสนายุคแรก ตามแบบสมัยลพบุรีคือ พุทธศาสนาแบบมหายาน
ภายหลังพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์แพร่ขยายเข้ามา ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง
วัสดุที่นำมาสร้างศิลปะ ประติมากรรม มีปูนเพชร (ปูนขาวแช่น้ำจนจืด ผสมกับทรายที่ร่อนละเอียด
ยางไม้ และน้ำอ้อย นำมาโขลกให้เหนียว แล้วนำมาปั้น เมื่อแห้งจะแข็ง
และทนทานต่อดินฟ้าอากาศมาก) ดินเผา ไม้ โลหะสำริด และทองคำ
งานปูนปั้นสมัยสุโขทัยเป็นงานศิลปะที่ได้รับอิทธิพลจากขอมเช่นเดียวกับสมัยอู่ทองหลักฐานที่พบและสันนิษฐานว่าเป็น
งานปูนปั้นสมัยสุโขทัย ได้แก่
มีลายเหราคาบนาคตรงส่วนที่หางหงสนาคสะดุ้งทําเป็นหยักแหลมแบบยอดซุ้มปรางค์
เรือนแก้ว พระพุทธรูปทําเป็นหยักยอดแหลม
สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะสมัยอู่ทองยุคหลัง ส่วนกรรมวิธีการทํารูปนูนต่ำจะใช้โลหะแหลมร่างเป็นลายเส้นซุ้มประตูระหว่างที่ปูนขาวที่ฉาบไว้ยังไม่แห้ง
ซึ่งลายเส้น ซุ้มประตูประกอบไปด้วยลายนาคสะดุ้ง ใบระกาเหราคาบนาคเจ็ดเศียร
เมื่อปูนขาวแห้งจึงปั้นปูนทับบนรอยร่าง
ถึงแม้ลายปูนปั้นสมัยสุโขทัยจะได้รับอิทธิพลจากขอม
แต่ลายปูนปั้นบางอย่างก็ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะปาละ และมีเอกลักษณ์ทางศิลปะของชนชาติในแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาสําหรับพระพุทธรูปศิลปะสมัยสุโขทัยสกุลช่างกําแพงเพชร
ลักษณะคล้ายกับพระพุทธรูปแบบสุโขทัย
แต่มีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษคือพระพักตร์ตอนบนกว้าง พระหนุเสี้ยม
พระเนตรเรียวเล็ก ปลายพระเนตรแหลมขึ้นไปและเรียวออกไปมากคล้ายกับตาของคนจีนนิยมทําวงแหวนรองรับพระรัศมี
อายุประมาณปลายศตวรรษที่ 19 - ต้นศตวรรษที่ 20
เช่นพบเศียรพระพุทธรูปปูนปั้นที่วัดช้าง เป็นศิลปะสมัยสุโขทัยสกุลช่างกําแพงเพชร
ประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 สูง 90 เซนติเมตร ที่มีลักษณะพระพักตร์รูปไข่ยาว
พระหนุเสี้ยม พระขนงโก่ง พระเนตรเหลือบลงต่ำ พระนาสิกโดง พระโอษฐ์บาง
ขมวดพระเกศารูปกันหอยสูงแหลม นับได้ว่าพุทธรูปในสมัยสุโขไทยเป็นผลงานที่รุ่งเรืองสูงสุดสมัยหนึ่ง
นอกจากนั้นยังมีการปั้นปูนเป็นภาพนูนสูง กับลวดลายต่างๆ อันงดงาม (จารุวรรณ
ขำเพชร, 2549) (พิจิตร นิ่มงาม, 2550)(สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ /
เล่มที่ ๑๔ )
ปูนปั้นสมัยอยุธยา
![]() |
ภาพ
วัดราชบูรณะ
ที่มา: ท่องเที่ยวไทย
(2018)
|
สมัยอยุธยาตอนต้น
ลักษณะลายปูนปั้นสมัยอยุธยาตอนต้นได้รับอิทธิพลจากศิลปะอู่ทองตอนปลาย
สุโขทัยและอโยธยา
จะมีลักษณะขึงขังและเข้มแข็งค่อนข้างเรียบง่ายไม่สลับซับซ้อนเป็นความงามแบบยิ่งใหญ่มีพลังแสดงถึงความมีสง่าราศี
ของความเป็นนักรบและความมีแสนยานุภาพที่พยายามรวบรวมอาณาจักรต่างๆ ของชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในบริเวณ
สุวรรณภูมิให้เป็นหนึ่งผนวกกับความงามด้านสุนทรียภาพซึ่งเป็นรากฐานสําคัญของงานศิลปะสุโขทัยกับอโยธยาไม่ว่า
จะเป็นลายซุ้ม เสา ลายเพื่อง หน้ากระดาน
สําหรับลายบางอย่างที่ได้รับอิทธิพลมาจากสุโขทัย เช่น ลายกระจัง
โดยปั้นเรียงแถวเพื่อประดับตามขอบลายหน้ากระดานธรรมาสน์หรือแผ่นหน้ากระดานคาดส่วนล่างของหน้าบัน
ตัวใหญ่จะเรียกกระจังปฏิญญาณเล็กลงมาเรียกกระจังเจิม และกระจังตาอ้อยตามลําดับ
ลายประจํายามหรือ ลายดอกจันทน์ เป็นลายดอกลอยประดับ ลายเส้นคาดองค์ระฆังของเจดีย์
เช่น เจดีย์วัดป่าสักเชียงแสน ซึ่งได้รับอิทธิพล มาจากศิลปะปาละของอินเดีย
ต่อมาได้มีการดัดแปลงลายประจํายามตกแต่งเรียงรายอยู่ในลายหน้ากระดาน
โดยมีตัวกนกประกอบเรียกว่าประจํายามก้ามปู ลายประจํายามสมัยอยุธยา
จะสลับกับลายดอกไม้เป็นดอกลอย ทรง กลม ครั้นสมัยอยุธยาตอนปลายดัดแปลงเป็นรูปวงรี
ต่อมาเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายอมุมไม้สิบสองและมีการ เปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด (จารุวรรณ ขำเพชร, 2549) (พิจิตร นิ่มงาม, 2550)
![]() |
ภาพ
ลายปูนปั้นที่พระอุโบสถ วัดใหญ่สุวรรณาราม
ที่มา: ไตรรัตน์
ธรรมธีรพิทักษ์ (2019)
|
สมัยอยุธยาตอนกลาง
การปั้นปูนและตัวลายมีความวิจิตรพิสดาร
มีรูปเค้าโครงกระชับกระทัดรัดกว่าสมัยอยุธยาตอนปลาย
มักจะปั้นปูนเส้นก้านลายคดโค้งขนานกันจากด้านล่างของ
หน้าจั่วหรือหน้าบันไปสู่เส้นสอบของสามเหลี่ยมสองข้าง เช่น
ที่หน้าบันอุโบสถวัดใหญ่สุวรรณารามวรวิหาร มีรูป เทวดาสี่กรสวมชฎาเทริด
ยืนบนบ่ายักษ์ที่มีสี่กร นั่งขัด สมาธิบนดอกบัว มีก้านบัว ลายกระจัง สมัยอยุธยาตอน
กลาง ยังเป็นแบบโบราณ ความเป็นมาคลายกลีบ ดอกไม่ให้กระจัง ลายหน้ากระดาน
ลวดบัวเป็นลายลูกน้ำ หรือไข่ปลา สําหรับงานปูนปั้นสมัยอยุธยาตอนกลาง
ที่ซุ้มประตูเข้าพระอุโบสถรวมทั้งธรรมาสน์วัดปราสาท
ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าทรงธรรม จะมียอดแหลม และมียอดแซมขนาดเล็กอยู่สองข้าง
ทับหลังเป็นไม้ย่อมุม ต่อมากลายเป็นแบบแผน ทรงยอดปราสาทสมัยอยุธยา
ตอนปลายและรัตนโกสินทร์ตอนต้น (จารุวรรณ ขำเพชร, 2549) (พิจิตร นิ่มงาม, 2550)
![]() |
ภาพ วัดสระบัว
จังหวัดเพชรบุรี
ที่มา:
Somsri
P'Ple Nawarat (2016)
|
สมัยอยุธยาตอนปลาย
ประติมากรรมพระพุทธรูปยุคนี้
มีการสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบพระมหากษัตริย์ โดยมีอยู่ ๒ แบบคือ
พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ และพระพุทธรูปทรงเครื่องน้อย พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ที่มีชื่อเสียงมาก
คือ พระประธานพระอุโบสถ วัดหน้าพระเมรุ อยุธยา ลายปูนปั้นค่อนข้างละเอียดออนพริ้วไหวแบบบาง
หรูหรา จุกจิก นิยมใช้ลายเครือเถา ตัวลายเล็ก ละเอียด เป็นกนกเปลว
แต่ก็ยังประดับด้วยชอหางโต เช่น พระอุโบสถวัดสระบัว จังหวัดเพชรบุรี ลายก้านขด
มีเทพพนมอยู่ตรงกลางวง บนซ้ายมือกับล่างขวา จะมีก้าน ขดเล็ก
โดยมีช่อหางโตชูช่ออยู่ตรงกลางสิ่งหนึ่งที่แสดงให้รู้ว่าเป็นศิลปะอยุธยาตอนปลาย
ได้แก่ ความบอบบางและความละเอียดอ่อน เช่น ปูนปั้นฐานชุกชีที่วัดในอําเภอนครไชยศรี
จังหวัดนครปฐม พบว่าปูนปั้นบัวรองอาสนพระพุทธรูป กลีบบัวมีลักษณะ ยาว และบาง
มีกลีบซ้อนกลีบ ที่มีความละเอียด ออนช้อยและประณีต บรรจงมากไม่เหมือนบัวสมัย
อยุธยาตอนกลาง ที่ลักษณะกลีบยังมีขอบหนา มีไส้กลีบ รูปทรงเข้มแข็งทะมัดทะแมง เช่น
บัวที่ฐานเจดีย์เหลี่ยม ย่อมุมสิบสอง วัดวรโพธิ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ถึง
แม้จะมีลักษณะลายที่ละเอียดอ่อนแต่ก็มีส่วนปลีกย่อย จุกจิกเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน
เช่น ลายปูนปั้นซุ้มหน้าต่าง อุโบสถวัดมเหยงค์ที่ยังคงเหลือ ลายช่อหางโต
ตรงหน้าจั่ว ส่วนบนเพียงช่อเดียว หรือลายปูนปั้นหน้า บันซุ้มประตู
ทางเข้าพระวิหารหลวงวัดราชบูรณวรวิหาร ซึ่งมีลักษณะ เช่นเดียวกับ
ลายปูนปั้นซุ้มหน้าต่างวัดมเหยงค์
ตัวอย่างงานปูนปั้นสมัยอยุธยาตอนปลายอีกแห่งหนึ่งได้แก่ ลายปูนปั้นซุ้มหน้าต่าง
มณฑป วัดโรงช้าง จังหวัดราชบุรี ลักษณะลายมีก้านขนานจากส่วนล่างขึ้นสู่ยอดแหลม
ของสามเหลี่ยมประกอบด้วยลายช่อหางโต สําหรับทรงเจดีย์ย่อมุมยอดแหลมพัฒนาต่อเนื่องมาจากสมัยอยุธยาตอนกลาง
โดยตรงมุมกับขอบลาย หน้ากระดานเป็นกระจังเล็กๆ
สําหรับทรงยอดปราสาทสมัยอยุธยาตอนปลาย ตรงขอบบนหน้ากระดานที่ยอมุม
เปลี่ยนเป็นนาคประดับซุ้มบันแถลงที่เชิงชุมสองข้างจะเป็นนาคเบือนเหมือนชั่วของปราสาททั่วไป
ลักษณะบัวหัวเสา สมัยอยุธยาตอนปลายเป็นบัวปูนปั้นเสาสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง
บัวกลีบยาว เช่น ที่เมรุทิศวัดไชยวัฒนาราม และเมรุราย วัดบรมพุทธาราม
แต่หลังจากสมัยพระเจ้าเสือลงมาจนกระทั่งเสียกรุงลักษณะบัวหัวเสาจะเป็นบัวเหลี่ยม
กลีบยาว (จารุวรรณ ขำเพชร, 2549) (พิจิตร นิ่มงาม, 2550)
![]() |
ภาพ
ลายปูนปั้นพระอุโบสถวัดนางนอง ที่มา: gerryganttphotography |
สมัยรัตนโกสินทร์
สมัยรัตนโกสินทร์
ในระยะแรกได้รับอิทธิพลแนวทางแบบอย่างมาจากสมัยอยุธยาตอนปลายเป็นส่วนใหญ่
ทั้งนี้เป็นด้วยช่างเหล่านั้น เหลือตกค้างมาตั้งแต่ครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่
2 แทบทั้งสิ้นลวดลายปูนที่ปั้นบนใบเสมา ประดับมุมเสาพระอุโบสถ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎี กรุงเทพฯ
สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 มี ความงามอย่างยอดเยี่ยม สง่าผ่าเผยและเข้มแข็ง
สมดังเป็นสมัยที่กู้ชาติบ้านเมืองได้สําเร็จ
ช่วงต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3
ลวดลายปูนตําได้รับอิทธิพลจากจีน มีการปรับเปลี่ยนลักษณะลวดลายเป็นลายดอก ลายเครือเถามากขึ้น
การปั้นปูนประดับลวดลายตามลักษณะดังกล่าว มีให้เห็นได้ที่พระอุโบสถวัดนางนอง
พระอุโบสถวัดราชโอรส เขตบางขุนเทียน และพระอุโบสถวัดเศวตฉัตร เขตคลองสาน กรุงเทพฯ
ในสมัยรัชกาลที่ 4
ช่างปั้นปูนแบ่งความนิยมทางศิลปะการปั้นปูนออกเป็น 2 แนว คือแนวหนึ่งกลับไปนิยม
การปั้นปูนในรูปแบบสมัยกรุงศรีอยุธยาอย่างเดิม เช่น ที่วัดราชประดิษฐ์, วัดบรมนิวาสกรุงเทพฯ โดยเฉพาะการปั้นปูนปฏิสังขรณ์ หน้าบันหอไตรเก่า
วัดศาลาปูน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ มีลายเครือเถาแบบกระหนกเปลวเกี่ยวพันกัน
นับเป็นฝีมือช่างปั้นปูนชั้นครู และเป็นผลงานอันเลิศในรัชกาลที่ 4 ส่วนอีกแนวหนึ่งนิยมชมชอบในรูปแบบชาวตะวันตก
ตามพระราชนิยม เช่น ลายปูนที่ปั้นประดับซุ้มประตูพระอุโบสถวัดประยูรวงศาวาส,
หน้าบันพระอุโบสถ วัดชัยพฤกษ์มาลา เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ และปูนที่ปั้นประดับหน้าบันพระอุโบสถ
วัดชุมพลนิกายาราม อําเภอบางประอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ศิลปะการปั้นปูนคลายความนิยมลง
มีการนําวิธีการใหม่ๆ แบบทางยุโรปมาใช้ในการสร้าง ศิลปะประดับสถาปัตยกรรมของไทย เป็นการปั้นด้วยดินให้เป็นต้นแบบ
แล้วถอดพิมพ์เป็นแม่แบบสําหรับหล่อ เสร็จแล้วจึงนําไปประกอบติดตั้ง เช่น
ที่หน้าบันศาลาราย วัดเบญจมบพิตร กรุงเทพฯ เป็นต้น (พิจิตร นิ่มงาม,
2550)
ในสมัยรัชกาลที่ 6
จนถึงรัชกาลที่ 8
งานศิลปกรรมฟื้นฟูอีกครั้งหลังจากที่รัชกาลที่ 6
โปรดพระราชทาน กําเนิดโรงเรียนเพาะช่างและโปรดให้มีการฟื้นฟูการแสดงละครโขน
ขยายกิจการงานช่างในวังให้ใหญ่โตขึ้น งานสมัยนี้ใช้เทคนิคของยุโรปเข้ามาเกี่ยวข้อง
คือปั้นด้วยดินเหนียวแล้วถอดพิมพ์ หล่อปูน หล่อโลหะ ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดพระราชทานกําเนิดโรงเรียนช่างต่างๆ โดยเฉพาะโรงเรียนเพาะช่าง
ในสมัยนี้ก็ยังใช้เทคนิคของยุโรป ต่อเนื่องมาจากสมัยรัชกาลที่ 5 คือปั้นด้วยดินเหนียวแล้วหล่อปูน หล่อ โลหะ เช่น ซุ้มพระร่วงโรจนฤทธิ์
หน้าองค์พระปฐมเจดีย์ และสืบเนื่องมาถึงรัชกาลที่ 7 และ 8 มีการใช้เทคนิควิธีแบบในสมัยรัชกาลที่ 5
งานในสมัยนี้ เช่น รูปปั้นครุฑประดับอาคารไปรษณีย์กลาง
ในสมัยรัชกาลที่ 9 ก่อนหน้านี้งานปูนปั้นเกิดการทรุดโทรมโดยทั่วไป
จึงเกิดแนวทางในการอนุรักษ์และศึกษา ข้อมูลเกี่ยวกับปูนตํา ปูนปั้นมากขึ้น
และวัดก็มีความต้องการให้ประดับตกแต่งอาคารสิ่งสําคัญทางศาสนา
ด้วยปูนปั้นเพิ่มขึ้น โดยช่างที่มีบทบาทสําคัญเกี่ยวกับงานลายปูนปั้น มี 2 กลุ่มคือกลุ่มช่างเมืองเพชร (ช่างเพชรบุรี) ซึ่งจะถนัดในการปั้นลายไทย
ภาพปูนปั้นในลักษณะศิลปะภาคกลาง และกลุ่มช่างเมืองเหนือ (กลุ่มช่างเมืองเหนือ
กระจายอยู่ ในจังหวัดลําปาง ลําพูน เชียงใหม่ เชียงราย แพร่ น่าน) แต่ศูนย์กลางใหญ่ของช่างปูนปั้น
จะอยู่ในจังหวัดลําพูน และจังหวัดเชียงใหม่ (จารุวรรณ ขำเพชร,
2549)(พิจิตร นิ่มงาม, 2550)