วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ประวัติความเป็นมา


ประวัติความเป็นมา
ปูนปั้นก่อนสมัยทวารวดี

ภาพ นักดนตรีสตรี ศิลปะทวารวดี
ที่มา: กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร (2015)
รูปแบบและลวดลายงานปูนปั้นในยุคแรกมีพื้นฐานมาจากคติความเชื่อ ปรัชญาในศาสนาพุทธ และฮินดู การพบหลักฐานงานปูนปั้นในยุคแรกๆ ที่เก่าแก่เป็นรูปปูนปั้นพระสงฆ์คลุมจีวรเป็นริ้ว อยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 6-8 ถือว่าเป็นงานปูนปั้นที่อายุมากที่สุดเท่าที่ค้นพบมา สันนิษฐานว่าเป็นศิลปะอมราวดีในสมัยอาณาจักรฟูนัน ที่รับอิทธิพลมาจากอินเดีย รูปกุญชรจากชาดก ณ ฐานเจดีย์ทรงจตุรัสจุลประโทน เมืองนครปฐมและมีหลักฐานที่บันทึกจากชาวจีนโบราณว่าเคยมีอาณาจักรฟูนันอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 8-10 ที่อําเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี โดยพบแผ่นดินเผารูปสงฆ์อุ้มบาตรซึ่งเป็นหลักฐานงานศิลปะที่ได้รับอิทธิพลสมัยอมราวดี ซึ่งเป็นศิลปะของพุทธศาสนานิกายหินยานและนิกาย สรวาสติวาทิน ลอกเลียนแบบมาจากศิลปะคุปตะ ช่วงพุทธศตวรรษที่ 11 ปูนปั้นภาพลอยตัว และภาพปูนปั้นนูนสูง รูปใบหน้าตรี ยักษ์เทวดา แสดงให้เห็นถึงการแต่กายของผู้คน และวิถีชีวิตของคน  นอกจากนี้ยังมีการพบงานปูนปั้นอีกหลายชิ้นที่สะท้อนถึงอิทธิพลของศิลปะ แบบอินเดียโดยเฉพาะศิลปะแบบอมราวดีและคุปตะ เช่น พระนอนที่ถ้ำฝาโถ เทือกเขางู จังหวัดราชบุรี เนื่องจากเป็นแบบเดียวกับที่พบในเมืองอนุราธปุระ ประเทศลังกาและเมืองกุสินารา ในประเทศอินเดีย ความจัดเจนในการปั้นปูนสมัย พุทธศตวรรษที่ 11-13 มีฝีมืออันเป็นเยี่ยม และคงทน (พิจิตร นิ่มงาม, 2550)(จารุวรรณ ขำเพชร, 2549)

ปูนปั้นสมัยสุโขทัย
ภาพ ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ วัดตระพังทองหลาง
ที่มา: ศ.ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล
เริ่มตั้งแต่สมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ประกาศตั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีประมาณ พ.ศ. ๑๘๐๐-๑๙๑๘ เมืองสำคัญทางศิลปะ ของสมัยสุโขทัย มีเมืองสุโขทัยเก่า กำแพงเพชร และศรีสัชนาลัย ปรากฏโบราณสถานใหญ่โต มีศิลปวัตถุเป็นจำนวนมาก ชาวสุโขทัยนับถือพุทธศาสนายุคแรก ตามแบบสมัยลพบุรีคือ พุทธศาสนาแบบมหายาน ภายหลังพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์แพร่ขยายเข้ามา ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง วัสดุที่นำมาสร้างศิลปะ ประติมากรรม มีปูนเพชร (ปูนขาวแช่น้ำจนจืด ผสมกับทรายที่ร่อนละเอียด ยางไม้ และน้ำอ้อย นำมาโขลกให้เหนียว แล้วนำมาปั้น เมื่อแห้งจะแข็ง และทนทานต่อดินฟ้าอากาศมาก) ดินเผา ไม้ โลหะสำริด และทองคำ
          งานปูนปั้นสมัยสุโขทัยเป็นงานศิลปะที่ได้รับอิทธิพลจากขอมเช่นเดียวกับสมัยอู่ทองหลักฐานที่พบและสันนิษฐานว่าเป็น งานปูนปั้นสมัยสุโขทัย ได้แก่ มีลายเหราคาบนาคตรงส่วนที่หางหงสนาคสะดุ้งทําเป็นหยักแหลมแบบยอดซุ้มปรางค์ เรือนแก้ว พระพุทธรูปทําเป็นหยักยอดแหลม สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะสมัยอู่ทองยุคหลัง ส่วนกรรมวิธีการทํารูปนูนต่ำจะใช้โลหะแหลมร่างเป็นลายเส้นซุ้มประตูระหว่างที่ปูนขาวที่ฉาบไว้ยังไม่แห้ง ซึ่งลายเส้น ซุ้มประตูประกอบไปด้วยลายนาคสะดุ้ง ใบระกาเหราคาบนาคเจ็ดเศียร เมื่อปูนขาวแห้งจึงปั้นปูนทับบนรอยร่าง ถึงแม้ลายปูนปั้นสมัยสุโขทัยจะได้รับอิทธิพลจากขอม แต่ลายปูนปั้นบางอย่างก็ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปะปาละ และมีเอกลักษณ์ทางศิลปะของชนชาติในแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยาสําหรับพระพุทธรูปศิลปะสมัยสุโขทัยสกุลช่างกําแพงเพชร ลักษณะคล้ายกับพระพุทธรูปแบบสุโขทัย แต่มีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษคือพระพักตร์ตอนบนกว้าง พระหนุเสี้ยม พระเนตรเรียวเล็ก ปลายพระเนตรแหลมขึ้นไปและเรียวออกไปมากคล้ายกับตาของคนจีนนิยมทําวงแหวนรองรับพระรัศมี อายุประมาณปลายศตวรรษที่ 19 - ต้นศตวรรษที่ 20 เช่นพบเศียรพระพุทธรูปปูนปั้นที่วัดช้าง เป็นศิลปะสมัยสุโขทัยสกุลช่างกําแพงเพชร ประมาณพุทธศตวรรษที่ 20 สูง 90 เซนติเมตร ที่มีลักษณะพระพักตร์รูปไข่ยาว พระหนุเสี้ยม พระขนงโก่ง พระเนตรเหลือบลงต่ำ พระนาสิกโดง พระโอษฐ์บาง ขมวดพระเกศารูปกันหอยสูงแหลม นับได้ว่าพุทธรูปในสมัยสุโขไทยเป็นผลงานที่รุ่งเรืองสูงสุดสมัยหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีการปั้นปูนเป็นภาพนูนสูง กับลวดลายต่างๆ อันงดงาม (จารุวรรณ ขำเพชร, 2549) (พิจิตร นิ่มงาม, 2550)(สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ / เล่มที่ ๑๔ )

ปูนปั้นสมัยอยุธยา
ภาพ  วัดราชบูรณะ
ที่มา: ท่องเที่ยวไทย (2018)
สมัยอยุธยาตอนต้น
          ลักษณะลายปูนปั้นสมัยอยุธยาตอนต้นได้รับอิทธิพลจากศิลปะอู่ทองตอนปลาย สุโขทัยและอโยธยา จะมีลักษณะขึงขังและเข้มแข็งค่อนข้างเรียบง่ายไม่สลับซับซ้อนเป็นความงามแบบยิ่งใหญ่มีพลังแสดงถึงความมีสง่าราศี ของความเป็นนักรบและความมีแสนยานุภาพที่พยายามรวบรวมอาณาจักรต่างๆ ของชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในบริเวณ สุวรรณภูมิให้เป็นหนึ่งผนวกกับความงามด้านสุนทรียภาพซึ่งเป็นรากฐานสําคัญของงานศิลปะสุโขทัยกับอโยธยาไม่ว่า จะเป็นลายซุ้ม เสา ลายเพื่อง หน้ากระดาน สําหรับลายบางอย่างที่ได้รับอิทธิพลมาจากสุโขทัย เช่น ลายกระจัง โดยปั้นเรียงแถวเพื่อประดับตามขอบลายหน้ากระดานธรรมาสน์หรือแผ่นหน้ากระดานคาดส่วนล่างของหน้าบัน ตัวใหญ่จะเรียกกระจังปฏิญญาณเล็กลงมาเรียกกระจังเจิม และกระจังตาอ้อยตามลําดับ ลายประจํายามหรือ ลายดอกจันทน์ เป็นลายดอกลอยประดับ ลายเส้นคาดองค์ระฆังของเจดีย์ เช่น เจดีย์วัดป่าสักเชียงแสน ซึ่งได้รับอิทธิพล มาจากศิลปะปาละของอินเดีย ต่อมาได้มีการดัดแปลงลายประจํายามตกแต่งเรียงรายอยู่ในลายหน้ากระดาน โดยมีตัวกนกประกอบเรียกว่าประจํายามก้ามปู ลายประจํายามสมัยอยุธยา จะสลับกับลายดอกไม้เป็นดอกลอย ทรง กลม ครั้นสมัยอยุธยาตอนปลายดัดแปลงเป็นรูปวงรี ต่อมาเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายอมุมไม้สิบสองและมีการ เปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด(จารุวรรณ ขำเพชร, 2549) (พิจิตร นิ่มงาม, 2550)



ภาพ ลายปูนปั้นที่พระอุโบสถ วัดใหญ่สุวรรณาราม
ที่มา: ไตรรัตน์ ธรรมธีรพิทักษ์ (2019)
สมัยอยุธยาตอนกลาง
          การปั้นปูนและตัวลายมีความวิจิตรพิสดาร มีรูปเค้าโครงกระชับกระทัดรัดกว่าสมัยอยุธยาตอนปลาย มักจะปั้นปูนเส้นก้านลายคดโค้งขนานกันจากด้านล่างของ หน้าจั่วหรือหน้าบันไปสู่เส้นสอบของสามเหลี่ยมสองข้าง เช่น ที่หน้าบันอุโบสถวัดใหญ่สุวรรณารามวรวิหาร มีรูป เทวดาสี่กรสวมชฎาเทริด ยืนบนบ่ายักษ์ที่มีสี่กร นั่งขัด สมาธิบนดอกบัว มีก้านบัว ลายกระจัง สมัยอยุธยาตอน กลาง ยังเป็นแบบโบราณ ความเป็นมาคลายกลีบ ดอกไม่ให้กระจัง ลายหน้ากระดาน ลวดบัวเป็นลายลูกน้ำ หรือไข่ปลา สําหรับงานปูนปั้นสมัยอยุธยาตอนกลาง ที่ซุ้มประตูเข้าพระอุโบสถรวมทั้งธรรมาสน์วัดปราสาท ที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าทรงธรรม จะมียอดแหลม และมียอดแซมขนาดเล็กอยู่สองข้าง ทับหลังเป็นไม้ย่อมุม ต่อมากลายเป็นแบบแผน ทรงยอดปราสาทสมัยอยุธยา ตอนปลายและรัตนโกสินทร์ตอนต้น (จารุวรรณ ขำเพชร, 2549) (พิจิตร นิ่มงาม, 2550)


ภาพ  วัดสระบัว จังหวัดเพชรบุรี
ที่มา: Somsri P'Ple Nawarat (2016)
สมัยอยุธยาตอนปลาย

          ประติมากรรมพระพุทธรูปยุคนี้ มีการสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบพระมหากษัตริย์ โดยมีอยู่ ๒ แบบคือ พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ และพระพุทธรูปทรงเครื่องน้อย พระพุทธรูปทรงเครื่องใหญ่ที่มีชื่อเสียงมาก คือ พระประธานพระอุโบสถ วัดหน้าพระเมรุ อยุธยา ลายปูนปั้นค่อนข้างละเอียดออนพริ้วไหวแบบบาง หรูหรา จุกจิก นิยมใช้ลายเครือเถา ตัวลายเล็ก ละเอียด เป็นกนกเปลว แต่ก็ยังประดับด้วยชอหางโต เช่น พระอุโบสถวัดสระบัว จังหวัดเพชรบุรี ลายก้านขด มีเทพพนมอยู่ตรงกลางวง บนซ้ายมือกับล่างขวา จะมีก้าน ขดเล็ก โดยมีช่อหางโตชูช่ออยู่ตรงกลางสิ่งหนึ่งที่แสดงให้รู้ว่าเป็นศิลปะอยุธยาตอนปลาย ได้แก่ ความบอบบางและความละเอียดอ่อน เช่น ปูนปั้นฐานชุกชีที่วัดในอําเภอนครไชยศรี จังหวัดนครปฐม พบว่าปูนปั้นบัวรองอาสนพระพุทธรูป กลีบบัวมีลักษณะ ยาว และบาง มีกลีบซ้อนกลีบ ที่มีความละเอียด ออนช้อยและประณีต บรรจงมากไม่เหมือนบัวสมัย อยุธยาตอนกลาง ที่ลักษณะกลีบยังมีขอบหนา มีไส้กลีบ รูปทรงเข้มแข็งทะมัดทะแมง เช่น บัวที่ฐานเจดีย์เหลี่ยม ย่อมุมสิบสอง วัดวรโพธิ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ถึง แม้จะมีลักษณะลายที่ละเอียดอ่อนแต่ก็มีส่วนปลีกย่อย จุกจิกเกิดขึ้นเช่นเดียวกัน เช่น ลายปูนปั้นซุ้มหน้าต่าง อุโบสถวัดมเหยงค์ที่ยังคงเหลือ ลายช่อหางโต ตรงหน้าจั่ว ส่วนบนเพียงช่อเดียว หรือลายปูนปั้นหน้า บันซุ้มประตู ทางเข้าพระวิหารหลวงวัดราชบูรณวรวิหาร ซึ่งมีลักษณะ เช่นเดียวกับ ลายปูนปั้นซุ้มหน้าต่างวัดมเหยงค์ ตัวอย่างงานปูนปั้นสมัยอยุธยาตอนปลายอีกแห่งหนึ่งได้แก่ ลายปูนปั้นซุ้มหน้าต่าง มณฑป วัดโรงช้าง จังหวัดราชบุรี ลักษณะลายมีก้านขนานจากส่วนล่างขึ้นสู่ยอดแหลม ของสามเหลี่ยมประกอบด้วยลายช่อหางโต สําหรับทรงเจดีย์ย่อมุมยอดแหลมพัฒนาต่อเนื่องมาจากสมัยอยุธยาตอนกลาง โดยตรงมุมกับขอบลาย หน้ากระดานเป็นกระจังเล็กๆ สําหรับทรงยอดปราสาทสมัยอยุธยาตอนปลาย ตรงขอบบนหน้ากระดานที่ยอมุม เปลี่ยนเป็นนาคประดับซุ้มบันแถลงที่เชิงชุมสองข้างจะเป็นนาคเบือนเหมือนชั่วของปราสาททั่วไป ลักษณะบัวหัวเสา สมัยอยุธยาตอนปลายเป็นบัวปูนปั้นเสาสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง บัวกลีบยาว เช่น ที่เมรุทิศวัดไชยวัฒนาราม และเมรุราย วัดบรมพุทธาราม แต่หลังจากสมัยพระเจ้าเสือลงมาจนกระทั่งเสียกรุงลักษณะบัวหัวเสาจะเป็นบัวเหลี่ยม กลีบยาว (จารุวรรณ ขำเพชร, 2549) (พิจิตร นิ่มงาม, 2550)


ภาพ  ลายปูนปั้นพระอุโบสถวัดนางนอง
ที่มา: gerryganttphotography
สมัยรัตนโกสินทร์
          สมัยรัตนโกสินทร์ ในระยะแรกได้รับอิทธิพลแนวทางแบบอย่างมาจากสมัยอยุธยาตอนปลายเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้เป็นด้วยช่างเหล่านั้น เหลือตกค้างมาตั้งแต่ครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 แทบทั้งสิ้นลวดลายปูนที่ปั้นบนใบเสมา ประดับมุมเสาพระอุโบสถ        วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎี กรุงเทพฯ สร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 มี ความงามอย่างยอดเยี่ยม สง่าผ่าเผยและเข้มแข็ง สมดังเป็นสมัยที่กู้ชาติบ้านเมืองได้สําเร็จ
          ช่วงต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ลวดลายปูนตําได้รับอิทธิพลจากจีน มีการปรับเปลี่ยนลักษณะลวดลายเป็นลายดอก ลายเครือเถามากขึ้น การปั้นปูนประดับลวดลายตามลักษณะดังกล่าว มีให้เห็นได้ที่พระอุโบสถวัดนางนอง พระอุโบสถวัดราชโอรส เขตบางขุนเทียน และพระอุโบสถวัดเศวตฉัตร เขตคลองสาน กรุงเทพฯ   
          ในสมัยรัชกาลที่ 4 ช่างปั้นปูนแบ่งความนิยมทางศิลปะการปั้นปูนออกเป็น 2 แนว คือแนวหนึ่งกลับไปนิยม การปั้นปูนในรูปแบบสมัยกรุงศรีอยุธยาอย่างเดิม เช่น ที่วัดราชประดิษฐ์, วัดบรมนิวาสกรุงเทพฯ โดยเฉพาะการปั้นปูนปฏิสังขรณ์ หน้าบันหอไตรเก่า วัดศาลาปูน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ มีลายเครือเถาแบบกระหนกเปลวเกี่ยวพันกัน นับเป็นฝีมือช่างปั้นปูนชั้นครู และเป็นผลงานอันเลิศในรัชกาลที่ 4 ส่วนอีกแนวหนึ่งนิยมชมชอบในรูปแบบชาวตะวันตก ตามพระราชนิยม เช่น ลายปูนที่ปั้นประดับซุ้มประตูพระอุโบสถวัดประยูรวงศาวาส, หน้าบันพระอุโบสถ วัดชัยพฤกษ์มาลา เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ และปูนที่ปั้นประดับหน้าบันพระอุโบสถ วัดชุมพลนิกายาราม อําเภอบางประอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น       
          ในสมัยรัชกาลที่ 5 ศิลปะการปั้นปูนคลายความนิยมลง มีการนําวิธีการใหม่ๆ แบบทางยุโรปมาใช้ในการสร้าง ศิลปะประดับสถาปัตยกรรมของไทย เป็นการปั้นด้วยดินให้เป็นต้นแบบ แล้วถอดพิมพ์เป็นแม่แบบสําหรับหล่อ เสร็จแล้วจึงนําไปประกอบติดตั้ง เช่น ที่หน้าบันศาลาราย วัดเบญจมบพิตร กรุงเทพฯ เป็นต้น (พิจิตร นิ่มงาม, 2550)
          ในสมัยรัชกาลที่ 6 จนถึงรัชกาลที่ 8 งานศิลปกรรมฟื้นฟูอีกครั้งหลังจากที่รัชกาลที่ 6 โปรดพระราชทาน กําเนิดโรงเรียนเพาะช่างและโปรดให้มีการฟื้นฟูการแสดงละครโขน ขยายกิจการงานช่างในวังให้ใหญ่โตขึ้น งานสมัยนี้ใช้เทคนิคของยุโรปเข้ามาเกี่ยวข้อง คือปั้นด้วยดินเหนียวแล้วถอดพิมพ์ หล่อปูน หล่อโลหะ ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงโปรดพระราชทานกําเนิดโรงเรียนช่างต่างๆ โดยเฉพาะโรงเรียนเพาะช่าง ในสมัยนี้ก็ยังใช้เทคนิคของยุโรป ต่อเนื่องมาจากสมัยรัชกาลที่ 5 คือปั้นด้วยดินเหนียวแล้วหล่อปูน หล่อ โลหะ เช่น ซุ้มพระร่วงโรจนฤทธิ์ หน้าองค์พระปฐมเจดีย์ และสืบเนื่องมาถึงรัชกาลที่ 7 และ 8 มีการใช้เทคนิควิธีแบบในสมัยรัชกาลที่ 5 งานในสมัยนี้ เช่น รูปปั้นครุฑประดับอาคารไปรษณีย์กลาง
          ในสมัยรัชกาลที่ 9 ก่อนหน้านี้งานปูนปั้นเกิดการทรุดโทรมโดยทั่วไป จึงเกิดแนวทางในการอนุรักษ์และศึกษา ข้อมูลเกี่ยวกับปูนตํา ปูนปั้นมากขึ้น และวัดก็มีความต้องการให้ประดับตกแต่งอาคารสิ่งสําคัญทางศาสนา ด้วยปูนปั้นเพิ่มขึ้น โดยช่างที่มีบทบาทสําคัญเกี่ยวกับงานลายปูนปั้น มี 2 กลุ่มคือกลุ่มช่างเมืองเพชร (ช่างเพชรบุรี) ซึ่งจะถนัดในการปั้นลายไทย ภาพปูนปั้นในลักษณะศิลปะภาคกลาง และกลุ่มช่างเมืองเหนือ (กลุ่มช่างเมืองเหนือ กระจายอยู่ ในจังหวัดลําปาง ลําพูน เชียงใหม่ เชียงราย แพร่ น่าน) แต่ศูนย์กลางใหญ่ของช่างปูนปั้น จะอยู่ในจังหวัดลําพูน และจังหวัดเชียงใหม่ (จารุวรรณ ขำเพชร, 2549)(พิจิตร นิ่มงาม, 2550)




ส่วนประกอบปูนปั้นสูตรต่างๆ


ส่วนประกอบปูนปั้นสูตรต่างๆ

ส่วนประกอบหลัก
ปูนขาว





ทราย






เส้นใย





                
   
             
        กาว





อุปกรณ์ในการตำปูน



เครื่องร่อนปูน/ทราย




ครกกระเดื่อง




1.ปูนตำโบราณ
          มีผลงานปูนปั้นที่เก่าแก่งดงาม ปั้นประดับติดอาคารโบราณสถานหลายแห่ง ปัจจุบันมีให้พบเห็นได้หลายแห่ง เช่น แหล่งโบราณสถานจังหวัดสุโขทัย แหล่งโบราณสถานจังหวัดพระนครศรีอยุธยา รวมทั้งปูน ตําที่ปั้นประดับพุทธสถานหรือวัดต่างๆ ในจังหวัดเพชรบุรี และปูนที่ปั้นในท้องถิ่นภาคเหนือที่จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ เป็นต้น ปูนตําโบราณ มีกรรมวิธีการผลิตหลายขั้นตอน ช่างปั้นปูนในจังหวัดเพชรบุรีเป็นแหล่งใหญ่ที่ยังสามารถ ถ่ายทอด สืบสาน ดํารงรักษาสูตรปูนตําและกรรมวิธีแบบโบราณไว้ได้เป็นอย่างดี (พิจิตร นิ่มงาม, 2550)
วัสดุส่วนผสม และการเตรียมวัสดุ ปูนตําโบราณ
ปูนขาว
ทราย
กาว
เส้นใย
                1.1ปูนตำโบราณผสมผงซิลิกา
ภาพ ผงซิลิกา
ที่มา: Guangzhou Quanxu Technology
                ซิลิกามีสารประกอบหลักเป็นซิลิกาไดออกไซด์มากกว่าร้อยละ 95 อยู่ในรูปผลึกของควอตซ์นามาบดละเอียด เมื่อผสมเพิ่มในปูนตาส่งผลให้ปูนตามีคุณสมบัติเชิงกลดีขึ้น ช่วยลดช่องว่างและโพรงในเนื้อปูนตา อีกทั้งเม็ดผงซิลิกาที่มีขนาดเล็กมากๆ ยังสามารถทาปฏิกิริยากับแคลเซียมไฮดรอกไซด์ในเนื้อปูนได้ ความแข็งแกร่งเชื่อมแน่นของเนื้อปูนที่ผสมเพิ่มด้วยผงซิลิกาเกิดขึ้น สามารถให้ผลด้านกำลังรับแรงอัดและกาลังรับแรงดึงดีกว่าสูตรปูนตำโบราณ (สุรชัย ทรัพย์เพิ่ม, 2559)
วัสดุส่วนผสม และการเตรียมวัสดุ ปูนตําโบราณผสมผงซิลิกา
  1.ใช้ปูนตำสูตรโบราณของช่างปูนปั้นเพชรบุรี(ช่างสำเรียง พรพระ, สัมภาษณ์, 12 มีนาคม2557) มีสัดส่วนผสมโดยน้าหนัก ปูนขาว : ทราย : เส้นใยกระดาษ : น้ำกาวประสาน คือ 47.26 : 28.80 : 0.77 : 23.17 ผสมปูนตาด้วยการตำโดยใช้ครกกระเดื่องเป็นเวลา 90 นาที
    2.ผงซิลิกาบดละเอียด ขนาด 4 และ 37 ไมครอน (μm) มีเนื้อละเอียดสีขาว 
2.ปูนตำน้ำมัน
          เป็นปูนที่มีน้ำมันจากพืชเป็นส่วนผสม ไม่มีส่วนผสมที่เป็นน้ำ วัสดุที่ใช้ผสมส่วนมากจะแปรสภาพแล้วพร้อมนํามาใช้ได้ เลยจึงไม่ต้องจัดเตรียมวัสดุมากนัก ปูนน้ำมันปั้นแต่งได้ง่าย และมีระยะเวลาในการปั้นตกแต่งรายละเอียดเพียงพอ ในท้องถิ่นทางภาคกลางมักใช้ปั้นประดับอาคารสถานที่ที่อยู่ในร่ม เช่น ลวดลายประดับตามซุ้ม หรือบานประตู หน้าต่างพระอุโบสถ วิหารของวัดต่างๆ ปัจจุบันในท้องถิ่นทางภาคเหนือยังมีการปั้นปูนชนิดนี้ ประดับตามอาคารที่เป็นศาสนสถานทั่วไปมากมาย (พิจิตร นิ่มงาม, 2550)
วัสดุส่วนผสม และการเตรียมวัสดุปูนตําน้ำมัน
ปูนขาว
ทราย
น้ำมัน
เส้นใย

3.ตำปูน (ปูนเพชร)
           ช่างปูนปั้นเมืองเพชรบุรีมีวิถีการผสมปูนที่มีลักษณะพิเศษ โดยมีส่วนผสมสำคัญ จำนวน 5 อย่าง ได้แก่ ปูนขาว 2 ส่วน ทรายละเอียด 1 ส่วน น้ำตาลโตนดหรือน้ำตาลทราย(เดิมใช้น้ำอ้อย) กาวหนัง(เดิมใช้เปลือกประดู่เคี่ยวกับหนังวัว) ปัจจุบันจะใช้ส่วนผสมกาว 17 แผ่น น้ำตาล 7 กิโลกรัม นำมาเคียวให้เข้ากัน กระดาษฟาง (เดิมใช้ฟางข้าวที่แห้งแล้ว) ปัจจุบันใช้กระดาษฟางแช่น้ำ นำมาตำให้ละเอียด โดยผสมทรายลงไปเล็กน้อย (มหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบุรี, 2560)

 4.ปูนปั้นสำเร็จรูป

ภาพ ปูนปั้นสำเร็จรูป ทีพีไอ (M900)
ที่มา: ทีพีไอ โพลีน
                ปูนปั้นสำเร็จรูป ทีพีไอ เหมาะสำหรับงานปั้น ตกแต่ง ปั้นลวดลาย ฯลฯ สามารถผสมน้ำ แล้วใช้งานได้เลย สะดวก รวดเร็ว แข็งแรง ทนทาน เพราะผ่านการทดสอบโดยช่างปั้นมืออาชีพ ว่ามีคุณสมบัติที่สามารถทำงานปั้นได้ดีตามความต้องการ วัสดุผสมระหว่างปูนซีเมนต์ทีพีไอปอร์ตแลนด์ หินบดละเอียด ผ่านกระบวนการอบแห้งและคัดขนาด สารเคมีเพิ่มคุณภาพให้มีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำ สารเคมีเพิ่มคุณภาพให้คุณสมบัติเพิ่มแรงยึดเกาะและลดความเปราะ และสารเคมีเพิ่มคุณภาพประเภทเส้นใย (ทีพีไอโอลีน เพาเวอร์,2560)







เครื่องมือ อุปกรณ์ การปั้นปูน


เครื่องมือ อุปกรณ์ การปั้นปูน
          เครื่องมือ สำหรับงานปั้น ของช่างปั้นปูนมักทำขึ้นด้วยไม้ไผ่ โดยช่างปั้นปูนแต่ละคนจะทำขึ้นใช้เอง ตามความเหมาะสมแก่งาน และถนัดมือช่างเอง มีดังต่อไปนี้


ภาพ เครื่องมือ สำหรับงานปั้น

1.เกรียง เกรียงขนาดใหญ่ เกรียงใบข้าว เกรียงสำหรับงานปั้นปูน มีหลายขนาด ใช้สำหรับตัก ป้าย ปาด แตะ แต่งปูนเพื่อขึ้นรูปประเภทต่างๆ หรือ ขูดแต่งผิวปูน
2.ไม้กวด ทำด้วยไผ่เหลาเป็นชิ้นแบนๆ ใช้สำหรับปาดปูน แต่ง และ กวดผิวปูนให้เรียบเกลี้ยง
3.ไม้เนียน ทำด้วยไม้ไผ่เหลาเป็นชิ้นแบนอย่างท้องปลิง ปลายข้างหนึ่งปาดเฉียง ใช้สำหรับปั้นแต่งส่วนย่อยๆ ในงานปั้นปูน เช่นขีดทำเป็นเส้น ทำรอยบากขอบลวดลาย
4.ไม้เล็บมือ ทำด้วยไม้ไผ่กิ่งเล็กๆ ช่างปั้นบางคนเรียกว่า ไม้แวว ใช้สำหรับกด ทำเป็นวงกลมล้อมลายตาไก่บ้าง ลายมุกบ้าง ไม้เล็บมือนี้ อาจทำขึ้นไว้หลายอัน และต่างขนาดกันเพื่อให้เหมาะสมแก่งานที่จะปั้น
5.ขวาน ทำด้วยเหล็กใส่ด้ามไม้ ใช้สำหรับ ฟัน หรือ เฉาะพื้นปูนให้เป็นรอยถี่ๆ เพื่อช่วยให้ปูนที่จะปั้นทับลงบนฝา หรือ พื้นปูนเกาะ หรือ จับติดแน่น
6.ตะลุมพุก ทำด้วยไม้รูปทรงกระบอกสั้นๆ ต่อด้ามไม้ยาวขนาดจับถนัด ใช้สำหรับตอก ทอยลงบนพื้นปูน หรือพื้นไม้
7. กระบะผสมปูน ใช้เป็นแผ่นรองเพื่อ นวด เคล้าปูน ก่อนทำการปั้น
8.แปรงขนาด 1-3 นิ้ว ใช้ทำความสะอาดปัดฝุ่น เศษผงที่หล่นค้างบนงาน
                                                                            (ช่างสิบหมู่ดอทคอม,2009) (พิจิตร นิ่มงาม, 2550)




ขั้นตอนการสร้างสรรค์งานปูนปั้น


ขั้นตอนการสร้างสรรค์งานปูนปั้น
            1.การเตรียมปูน การหมักปูน ปูนขาวแช่น้ำสารส้มหมักทิ้งไว้ในถังหมักปูนระยะเวลาประมาณ 1 เดือน เพื่อลดความเค็มของปูน

            การร่อนปูนนำปูนที่หมักไว้ตามระยะเวลา 1 เดือน จนได้ที่แล้วนำมาร่อนบนตะแกรงไม้ ขณะที่ปูนยังเปียกอยู่โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเศษปูนก้อนใหญ่ หรือสิ่งที่ปนเปื้อนมากับปูนขาวออกจะทำให้ปูนที่ได้มีเนื้อละเอียดมากยิ่งขึ้น แล้วหมักในน้ำจืดอีกประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อลดความเค็มของปูน
                    การตากปูนนำปูนที่ได้จากการหมักครั้งที่สองมาตากให้แห้ง วิธีการตากปูนต้องทําให้เป็น ก้อนๆพอประมาณ ไม่ใหญ่จนเกินไป เพื่อที่ปูนจะได้แห้งเร็ว ใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เมื่อปูนแห้งดีแล้ว นำมาเก็บไว้ในถังสำหรับเก็บปูนก้อน
          การบดปูนนำปูนก้อนมาใส่เครื่องบด โดยมีส่วนผสมปูน 1 กระป๋อง (ประมาณ 3 ลิตร) กาวหนัง 2 แก้ว กระดาษฟางที่ผ่านการทำมาแล้ว 1 แก้ว ต่อการบด 1 ครั้ง โดยใช้เวลาการบดประมาณ 10 นาที เมื่อบดได้ที่แล้วนำออกจากเครื่องบดปูน 

ภาพ  ปูนที่ผ่านกระบวนการตำ พร้อมสำหรับการปั้น
นำปูนที่ผ่านการบดแล้วมาตำโดยใช้เวลาตำปูนเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ปูนมีความเหนียวนุ่ม ในขณะที่ตำ ช่างปูนปั้นจะต้องคอยสังเกตเองว่า ปูนที่ตำได้ที่ตามต้องการหรือยัง เมื่อตำปูนได้ที่แล้ว นำไปใส่ถุงพลาสติก มัดปากถุงให้แน่น เพื่อรักษาความชื่นไว้พร้อมที่จะนำไปผลิตชิ้นงานต่อไป ปูนที่ตำเก็บไว้ แล้วจะคงสภาพอ่อนอยู่อย่างนั้น แต่จะต้องไม่ให้อากาศเข้าไปในถุงได้ เมื่อช่างจะใช้ก็นำไปใช้ได้ทันที ส่วนใหญ่ จะใส่ถุงพลาสติกแช่ไว้ในน้ำ เวลาจะใช้ค่อยนำออกไปใช้เพื่อมิให้ปูนแข็งตัว (มหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบุรี, 2560)

               2. การขึ้นโครงแบบงานปูนปั้น มี 2 ลักษณะ 


ภาพ  การขั้นโครงเเบบ



ภาพ  การโกลนปูน


ภาพ  เทวดาที่ปั้นเสร็จ
    2.1. ภาพนูนลอย (แบบลอยตัว) ช่างปั้นจะต้องขึ้นโครงแบบ ก่อนการปั้น
          ในการปั้นปูนตำประดับพระอุโบสถ หรือวิหาร นอกจากการปั้นลวดลายประดับตามฝาผนังเป็นภาพนูนต่ำหรือนูนสูงแล้ว การปั้นภาพที่ต้องการเน้นความโดดเด่น ความสำคัญให้มีมากขึ้น จึงใช้การปั้นภาพเป็นแบบลอยตัว
          การปั้นภาพลักษณะลอยตัว เป็นการปั้นภาพให้เห็นได้เป็น ๓ มิติ คือ ความกว้าง ความยาว ความหนา มองเห็นได้รอบทิศทาง นิยมปั้นประดับตามบริเวณต่างๆ ของอาคาร เช่น การปั้นพระพุทธรูปและสาวก เทพารักษ์ ยกเฝ้าประตูทางเข้าออก หรือปั้นภาพพญานาค สิงห์ และสัตว์อื่นๆ ประดับอยู่ตามมุม หรือเชิงบันไดทางขึ้นลงพระอุโบสถหรือ วิหาร เป็นต้น (พิจิตร นิ่มงาม, 2550) (มหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบุรี, 2560)

ภาพการปั้นแบบนูนต่ำ นูนสูง
ภาพ การปั้นแบบนูนต่ำ นูนสูง






ภาพ  การปั้นแบบนูนต่ำ นูนสูงผ่านการลงสี

         2.2. ภาพติดผนัง ภาพนูนต่ำ (แบบนูนต่ำ นูนสูง) ช่างปั้นต้องออกแบบเขียนลายในกระดาษ เพื่อดูรูปแบบและเค้าโครงก่อน
                     ส่วนมากจะพบเห็นบนพื้นผนังที่เป็นพื้นเรียบ ในการปั้นปูนตำเป็นลักษณะนูนต่ำนี้ จะปั้นปูนเป็นภาพ หรือลวดลายแนบติดกับพื้นสม่ำเสมอกันไปตลอดทั้งภาพ ขอบภาพหรือขอบลายจะแนบเนียนสนิทกับพื้นภาพ การปั้นภาพลักษณะนูนต่ำนี้ เนื้อปูนที่ปั้นจะมีความบาง ไม่หนา น้ำหนักปูนที่ปั้นพอกจึงมีไม่มาก ไม่ต้องปั้นหุ่นขึ้นโครง จึงไม่มี กรรมวิธีการโกลนหุ่น หรือเตรียมการซับซ้อนมากนัก ช่างปั้นสามารถปั้นปูนตำเป็นรูปลักษณะตามแบบได้เลย วัตถุประสงค์อย่างหนึ่งของการปั้นแนบพื้นแบบนูนต่ำนี้ เป็นเพราะต้องการให้พื้นที่งานปั้นนั้น ยึดติดกับพื้นผนังได้มั่นคงแข็งแรง การปั้นชนิดนี้จึงมี ลักษณะเป็นการปั้นแบบนูนต่ำ ในการปั้นปูนลักษณะนูนสูง เป็นการปั้นที่ยกลอยสูงพ้นพื้นขึ้นมามาก แต่พื้นที่ส่วนใหญ่จะต้องยึดติดกับผิวพื้น เช่นการ ปั้นรูปเทวดา มนุษย์ หรือสัตว์ ส่วนที่เป็นลคอ ลําตัว โคนขาจะปั้นยึดแน่นแข็งแรงกับพื้นผนัง ส่วนที่เป็นศีรษะ แขน ขา มือ เท้า จะปั้นยกสูงจนบางครั้งเกือบเป็นลอยตัวก็มี และในการปั้นนูนต่ำกับนูนสูงผสมผสานกัน จะได้ผลงานการปั้นที่สวยงามอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น มีทั้งตัวภาพและตัวลาย นิยมเน้นความสําคัญการปั้นตัวภาพให้มีความสูง ความหนามากกว่าตัวลาย (พิจิตร นิ่มงาม, 2550(มหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบุรี, 2560)

ภาพ  การโกลนปูน
  3.การโกลนปูน การปั้นปูนด้วยปูนตำหรือปูนเพชรนั้นช่างจะต้องออกแบบเขียนลายลงใน กระดาษเพื่อดูรูปแบบเค้าโครงชั้นหนึ่งก่อนเมื่อช่างปั้นร่างแบบแล้ว จะเขียนลายไว้หยาบๆ หรือบางครั้งจะ เขียนลายพร้อมการปั้นปูนไปด้วย เมื่อร่างลายแล้วช่างจะนำปูนซีเมนต์ปั้นพอก (ถือปูน) ไปตามรูปแบบที่ร่างไว้ (มหาวิทยาลัยราชภัฎเพชรบุรี, 2560)



วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

ปูนปั้นสำคัญเพชรบุรี


ปูนปั้นสำคัญเพชรบุรี
ปูนปั้นวัดไผ่ล้อม


ภาพ พระประธานวัดไผ่ล้อม

      วัดไผ่ล้อม เป็นวัดเก่าแก่ที่มีมาแต่สมัยอยุธยา ปัจจุบันเป็นวัดร้าง แต่ชาวบ้าน ใกล้เคียงยังคงใช้สถานที่ส่วนหนึ่งประกอบพิธีทางศาสนาในบางครั้ง วัดไผ่ล้อมอยู่ชิดติด กับถนนพระทรงทางทิศใต้ และอยู่ติดกับเรือนจําจังหวัดเพชรบุรี ทางทิศเหนือสิ่งที่เหลืออยู่
คือตัวโบสถ์ และเจดีย์ขนาดย่อม 1 องค์ ซึ่งอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมมาก
ภาพ ปูนปั้นหน้าประตู


ภาพ ปูนปั้นหน้าบันอุโบสถ
     ปูนปั้นหน้าบันโบสถ์วัดไผ่ล้อม มีลวดลายปูนปั้นให้ชมด้านเดียวกันถึงสองหน้าบัน เครื่อง บนหลังคาหน้าบันด้านหน้าพังไปหมดแล้ว มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ได้ทําการซ่อมใหม่ คงเป็นพระประธานองค์เดิม และยังมีพระพุทธรูปหินทราย ใบเสมา ซึ่งชํารุดเป็นส่วนใหญ่กองอยู่ ด้านหลังพระประธานสําหรับลายปูนปั้นหน้าบันด้านหลังสุด รูปประธานเป็นภาพนกยูงเห็นแต่หางซึ่งรําแพนอยู่เท่านั้น ประกอบด้วยลายพุ่มช่อหางโต ก้านลายใหญ่และหนา ช่อหางโตเล็ก ออกช่อเรียงกันไปปูนปั้นด้านหลังช่องกลางรูปประธานเป็นภาพพระนารายณ์ทรงครุฑ ประกอบ ด้วยลายพุ่มช่อหางโต ลักษณะลวดลายเป็นแบบเดียวกันกับปูนปั้นด้านหลังสุด แต่ที่แปลกไปจาก โบสถ์แห่งอื่นๆ ก็คือผนังของหน้าบันช่องกลางทําเป็นห้องโถงเล็กอีกห้องหนึ่ง ผนังด้านในมีภาพลายปูนปั้นเต็มทั้งผนัง เป็นภาพปูนปั้นที่เกี่ยวเนื่องด้วยเรื่องพุทธประวัติ ปั้นเป็น ภาพประสาท 7 ชั้น ศาลา เชิงผา ภูเขา ต้นไม้ และภาพพระพุทธรูปปางต่างๆ ฝีมือการปั้น นั้นเฉียบคม บางท่านอาจคิดว่านั้นยังไม่เสร็จ ซึ่งอันที่จริงเป็นการแสดงชั้นเชิงของ การใช้เกรียงปาดไปปาดมา ลีลาของลายแบบกึ่งธรรมชาติงดงามยิ่ง ภาพปูนปั้นผนังด้านนี้เมื่อต้องแสงทําให้เกิดเงาสลับซับซ้อน ทําให้ภาพของลายดูลุ่มลึกลดหลั่นเป็นชั้นช่อง แสดงความเป็น เลิศในแนวความคิด และฝีมือของช่างได้อย่างเด็ดขาด ชนิดที่จะหาชมไม่ได้ที่ใดอีก แต่เป็นที่น่า เสียดายปูนปั้นบนผนังและหน้าบันกําลังชํารุดและแตกร้าว สมควรที่จะช่วยกันดูแลรักษาเพื่อ อนุรักษ์ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ดูได้ศึกษา หน้าบันและผนังปูนปั้นโบสถ์วัดไผ่ล้อม อันเป็นสมบัติล้ำค่า(ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเพชรบุรี,2533)
ภาพ ปูนปั้นหน้าต่าง วัดไผ่ล้อม

ภาพ ปูนปั้นลายพุทธประวัติ
ที่มา: Pataraphon Duangngern
ปูนปั้นวัดมหาธาตุวรวิหาร
ภาพ พระปรางค์วัดมหาธาตุ
     วัดมหาธาตุวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงตั้งอยู่ในเขตเทศบาล ตําบลคลองกระแชง อําเภอเมืองเพชรบุรี มีถนนดําเนินเกษมผ่านด้านหน้ามีถนนวัดมหาธาตุตัด แบ่งวัดออกเป็นสองตอน เป็นเขตพุทธาวาสและเขตสังฆาวาส เป็นวัดเก่าที่มีมาแต่โบราณ ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดนักเพียงแต่สันนิษฐานกันว่าน่าจะสร้างมาแต่กรุงสุโขทัยมีโบราณสถานโบราณวัตถุล้วนแล้วแต่งดงามเป็นที่รวมความเคารพนับถือของชาวเพชรบุรีมาตลอด     
        วัดมหาธาตุฯ เป็นวัดที่อยู่กลางเมือง มองเห็นได้ง่ายเพราะมีพระปรางค์ 5 ยอด สูงใหญ่ตั้งตระหง่าน ประดับตกแต่งด้วยประติมากรรมปูนปั้นด้วยฝีมืออันประณีต บริเวณโดยรอบของพระปรางค์ปิดล้อมด้วยวิหารคดมีมุข มีซุ้มทั้ง 4 ด้านแต่ละด้านมีภาพลายปูนปั้นที่งดงาม ภายในวิหารคดมีพระพุทธรูปลงรักปิดทองประทับนั่งเรียงกัน 188 องค์ โดยเฉพาะที่ฐานพระพุทธรูปทรงเครื่อง 28 องค์ มีภาพลายปูนปั้นฝีมือ นายพิณ อินฟ้าแสง และนายทองร่วง เอมโอษฐ์ ช่างปูนปั้นที่มีชื่อเสียงของเมืองเพชร
      นอกจากพระปรางค์ 5 ยอด สูงใหญ่แล้ว สิ่งที่สะดุดตาสะดุดใจของผู้มาเยี่ยมเยือนก็คือ พระวิหารหลวง ภายในมีพระประธานองค์ใหญ่สมัยอยุธยา พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ (หลวงพ่อ ศักดิ์สิทธิ์) จิตรกรรมฝาผนัง ฝีมือของศิลปินเมืองเพชร ลักษณะรูปแบบของพระวิหารงามแปลก ตาที่เดียว เป็นพระวิหารที่ไม่มีไขราหน้าบัน ช่อฟ้า หางหงส์ ปั้นเป็นภาพเทพนม มีภาพใบหน้า ยักษ์คั่นกลางใบระกา ปั้นเป็นลายงดงามมาก
ภาพ ปูนปั้นภาพพระนารายณ์ทรงครุฑที่หน้าบันพระวิหาร

         ปูนปั้นภาพพระนารายณ์ทรงครุฑที่หน้าบันพระวิหารทําแปลกตาทีเดียว ซึ่งที่นิยมทํากัน คือภาพครุฑ จับหางนาคชูขึ้นแล้วใช้เท้าเหยียบที่คอนาค แต่ที่พระวิหารหลวงภาพครุฑจะจับ ตรงคอนาคชูขึ้นทิ้งหางลงมา เรียกว่า ภาพครุฑยุดนาคหิวไม่ใช่ยุดแล้วเหยียบ เป็นการ แสดงให้เห็นถึงพละกําลังฤทธานุภาพของครุฑ ส่วนภาพหนุมานก็ปั้นตัวไม่ใหญ่นัก ท่าทางทะมัดทะแมงรับน้ำหนักของครุฑและพระนารายณ์อย่างเต็มกําลังเห็นจะมีที่วิหารหลวงวัดมหาธาตุฯนี้เท่านั้นที่สมบูรณ์ด้วยรูปแบบและลวดลายภาพปูนปั้นที่พระวิหารหลวงวัดมหาธาตุวรวิหาร งานเด่นสง่าเป็นที่ตื่นตาตื่นใจของผู้ พบเห็นต่างต้องหยุดยืนชม เพ่งพินิจ ช่อฟ้าเทพนม ภาพยักษ์ ภาพครุฑ ตลอดจนลวดลาย ฝีมือปูนปั้นชั้นครูสมัยรัตนโกสินทร์ (ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเพชรบุรี,2533)
ปูนปั้นวัดพลับพลาชัย

          วัดพลับพลาชัย เป็นวัดเก่าอยู่กลางเมืองเพชรบุรี มีกลุ่มช่างและช่างที่มีชื่อเสียง หลายท่าน หลวงพ่อฤทธิ์ จัดว่าเป็นช่างฝีมือเอกของวัดพลับพลาชัย และของเพชรบุรี วัดพลับพลาชัยตั้งอยู่ถนนดําเนินเกษม โบสถ์วิหาร ศาลา การเปรียญอยู่ทางทิศตะวันออก กุฏิสงฆ์ โรงเรียนพระปริยัติธรรม ศาลาฌาปนสถาน อยู่ทางทิศตะวันตก
ภาพ หนุมานเข้าห้องนางวานรินทร์
ที่มา: เพลินเมืองเพชร (2018)
        ปูนปั้นภาพหนุมานเข้าห้องนางวานรินทร์ ปูนปั้นซุ้มประตูทางซ้ายมือ ภาพประธาน ภาพประกอบลาย หรือภาพทับลาย ปั้นเป็น ภาพหนุมานกําลังโอ้โลมนางวานรินทร์ ในถ้ำทอง เขาอังกาศสิงขร ท่าทางอย่างละคร อ่อนละมุน ทีเดียว นายแป๋วทําเป็นถ้ำชะโงกง้ำงามมาก มีวานรป่า 3 ตัว แบกขนผลไม้อยู่ทางซ้ายของภาพ เป็นภาพที่ปั้นขึ้นตามบทละครเรื่องรามเกียรติ์(ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเพชรบุรี,2533)
ภาพ งานปูนปั้น นายพิณ อินฟ้าเเสง
ภาพ ประตูโบสถ์

ปูนปั้นฐานเสมาวัดสระบัว
     โบสถ์วัดสระบัว เป็นโบสถ์ขนาดเล็กรูปแบบอย่างอยุธยา อยู่ภายในกําแพงไม่สูงนัก ศิลปกรรมที่ทรงคุณค่าคือปูนปั้นฐานเสมารอบโบสถ์เสมาองค์ใหญ่ด้านหน้ายังอยู่ในสภาพสมบูรณ์มากกว่าองค์อื่นๆ ฐานเสมาทําเป็นฐานซ้อนกันสองชั้นมีบัวรับเสมาประดับกระจกแววแทรกอยู่ตามตัวลายฐานเสมาชั้นล่างปั้นเป็นภาพยักษ์แบก ท่าทางการแบกแสดงความรู้สึกดูหนัก ยักษ์บางตัวใช้หลังช่วยหนุน บางตัวใช้ไหล่ใช้มือช่วยดัน
ภาพ ฐานเสมา
ที่มา: เพชรภูมิ ฮอตนิวส์ (2019)
     ฐานเสมาชั้นบนปั้นเป็นด้านหน้าโบสถ์ ปั้นเป็นพวกอมนุษย์ส่วนปูนปั้นฐานเสมาชั้นล่างด้านข้างและด้านหลัง ปั้นเป็นพวกสิบสองภาษา ที่เห็นเด่นชัด คือ ภาพคนจีนแบก ภาพแขกเทศแบก ภาพพราหมณ์แบก ภาพขอมแบก ภาพคนไทยแบก ภาพกุลาแบก และภาพฝรั่งแบก เห็นผ้าผูกคอปลิวสะบัดชัดเจนปูนปั้นเสมาวัดสระแก้ว เป็นศิลปะปูนปั้นสมัยอยุธยาที่จัดว่างดงามที่สุดและเหลืออยู่ให้ชมเพียงแห่งเดียว(ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเพชรบุรี,2533)


ปูนปั้นวัดเขาบันไดอิฐ

ภาพ โบสถ์เมียน้อย เมียหลวง
ที่มา:สร้อยฟ้ามาลา (2008)
    วัดเขาบันไดอิฐ จังหวัดเพชรบุรี ตั้งอยู่บนยอดเขาบันไดอิฐ สร้างขึ้นใน อยุธยาตอนปลาย มีโบสถ์และวิหารขนาดไม่ใหญ่นัก ตั้งอยู่ในระดับเดียวกันมีเจดีย์ใหญ่ ตั้งอยู่ระหว่างกลาง ยอดเจดีย์เอียงไปทางวิหาร เรียกกันโดยทั่วไปว่า โบสถ์เมียน้อย เมียหลวง
ภาพ ครุฑหน้าบันโบสถ์
ที่มา: งานปูนปั้นสกุลช่างเมืองเพชร

        หน้าบันโบสถ์ด้านทิศตะวันออกมีศิลปะปูนปั้นเต็มหน้าบัน ปั้นเป็นภาพครุฑประกอบด้วย ลายพุ่มปลายสะบัดดังเปลวไฟ ถัดจากลายพุ่มเป็นลายกนกก้านขดช่อหางโตออกตัวลายละเอียด แน่นกระชับ พื้นประดับกระจกพุ่มหางโตเหนือครุฑ ปั้นภาพเทพนมอยู่ในตัวลาย เหนือขึ้นไปเป็นรูปเกียรติมุขหน้าบันจิ๋วเลี้ยว ด้านขวาปั้นลายกนกเปลว ช่อหางโต ริมสุดปั้นภาพนางฟ้า ร่ายรําอยู่ ในตัวลาย พุ่มหางโตชิดเสาปั้นภาพเหรา เหนือขึ้นไปเป็นภาพเกียรติมุข จั่วเสี้ยวด้านขวา พุ่มหางโตชิดเสาปั้นภาพสิงห์ หน้าเป็นสิงห์โต หน้าบันด้านทิศตะวันตก ปั้นเป็นภาพครุฑยืนใหญ่จับเถาก้านลาย ที่จั่วเสียวด้านซ้าย ซ่อลายเป็นหัวพญานาค ด้านขวาเป็นหัวสิงห์ ลวดลายปูนปั้นหน้าบันโบสถ์วัดเขาบันไดอิฐ(ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเพชรบุรี,2533)